ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีข้อมูลเกี่ยวกับ โรคลิวคีเมียในแมว พอสมควร
ข้อมูลบางอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากตำราเมื่อสมัยก่อน
ถือเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในประเทศไทย
โรคลิวคีเมีย
เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้ทั่วโลก แต่หลายคนอาจนึกถึงโรคลิวคีเมียในซีรีส์เกาหลีกัน
โรคลิวคีเมียเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
โรคลิวคีเมียในแมว ติดต่อได้อย่างไร
การติดต่อนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากแมวสู่แมว
ไม่ว่าจะเป็นทางบาดแผล (จากการกัดกัน), การอยู่ร่วมกันแบบใกล้ชิด
(ยกตัวอย่างเช่นการตัดขน, การใช้ภาชนะรองอาหารร่วมกัน หรือการใช้ทรายอนามัยร่วมกัน)
หรือจากแม่มาสู่ลูก (ทั้งทางรกและน้ำนม) จำง่าย ๆ ว่า เชื้อไวรัสลิวคีเมียอยู่ใน
น้ำลาย, ปัสสาวะ และอุจจาระของแมวป่วย
แมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย
มีอาการอย่างไร
ในระยะแรก แมวอาจมีอาการเพียงแค่มีไข้
เซื่องซึม ท้องเสีย หรืออาจพบต่อมน้ำเหลืองขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากนั้นอาจมีอาการอื่น ๆ ได้โดยขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันในระบบต่าง ๆ
อาทิเช่น น้ำหนักตัวลด ช่องปากอักเสบ ภาวะเลือดจาง อาการทางระบบประสาท
เนื้องอกที่อวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น
แมวที่เสี่ยงต่อ
โรคลิวคีเมีย
แมวตัวผู้ ที่ยังไม่ได้ทำหมัน
มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียค่อนข้างสูง
เนื่องจากธรรมชาติของแมวตัวผู้ ที่ชอบออกไปนอกบ้าน ไปต่อสู้กับแมวตัวผู้อื่นๆ
เพื่อแย่งแมวตัวเมียกัน
หากเป็นแมวเร่ร่อนยิ่งจะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียสูงกว่า
แมวที่เลี้ยงไว้ตามบ้าน
อย่างไรก็ตาม สำหรับแมวที่เลี้ยงในบ้านอย่างหนาแน่น
ก็มีอัตราเสี่ยงสูงไม่แพ้กัน หากมีแมวที่สามารถออกนอกบ้านไปได้
อาจนำเชื้อไวรัสลิวคีเมียกลับมา พอในบ้านมีประชากรหนาแน่น
ก็มีอาจมีเรื่องความขัดแย้ง การแย่งกันเป็นใหญ่ รวมถึงความเครียดที่สูงขึ้น
อันจะส่งผลให้มีการแพร่ระบาดได้
ระยะฟักตัวของ
โรคลิวคีเมีย
ระยะฟักตัวของโรค หมายถึง
ระยะเวลาตั้งแต่แมวได้รับเชื้อไวรัสลิวคีเมียเข้าไปในร่างกาย จนแสดงอาการเจ็บป่วย
สำหรับ โรคลิวคีเมีย อาจมีระยะฟักตัวได้ตั้งแต่เดือนจนถึงปี
ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
แม้ว่าตัวเชื้อไวรัสลิวคีเมียจะส่งผลกระทบต่อระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง
และระบบภูมิคุ้มกัน แต่ว่าระบบอื่น ๆ
ภายในร่างกายนั้นจะไวต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนอื่น ๆ
อันเป็นผลมาจากภาวะกดภูมิคุ้มกัน
การตรวจวินิจฉัย
โรคลิวคีเมียในแมว
การตรวจวินิจฉัยนั้นมีอยู่หลายวิธี
การตรวจวินิจฉัยในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะเพิ่มความแม่นยำ แต่อย่างไรก็ดี “ผลบวกลวง”
ก็อาจเกิดขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูง หากตรวจวินิจฉัยครั้งแรก พบผลบวก
ก็มีโอกาสที่ตรวจอีกครั้งจะได้ผลลบ โดยทั่วไปแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยซ้ำห่างกัน 8-12
สัปดาห์
หากตรวจวินิจฉัยพบว่าแมวที่เลี้ยงไว้เป็นโรคลิวคีเมีย
ควรปฏิบัติอย่างไร
แมวที่วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย
อาจสามารถมีชีวิตยืนยาวได้นับปี มีข้อมูลการศึกษาว่า 83%
ของประชากรแมวที่ทำการศึกษา มีอายุยืนยาวได้ไม่เกิน 4 ปี
ภายหลังจากที่ตรวจวินิจฉัยว่ามีเชื้อไวรัสลิวคีเมีย โดยมีสองปัจจัยที่ควรเข้าใจ
นั่นคือควรจะหลีกเลี่ยงความเครียดและการสัมผัสต่อเชื้อโรคอื่น ๆ ดังนั้น
จึงไม่ควรให้อยู่รวมกับแมวป่วย หรืออยู่กันอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ดี
มีข้อมูลว่าหากเลี้ยงแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียไว้ร่วมกัน จะมีความเครียดน้อยกว่า
กักขังให้อยู่เพียงลำพัง
หากพบอาการป่วยเนื่องจากการติดเชื้อแทรกซ้อน ก็ให้รีบทำการรักษา อาจให้ยาปฏิชีวนะ
ให้สารน้ำ หรืออาหารที่มีคุณค่าสูง หากพบก้อนเนื้องอก
อาจให้การรักษาคีโมร่วมกับให้ยาในกลุ่มสเตรียรอยด์
ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
ยาสำหรับคนที่นำมาใช้กรณีติดเชื้อ HIV มีรายงานว่าประสบความสำเร็จในการใช้ในแมวบ้าง
แต่ก็มีผลข้างเคียงพอสมควร
รวมถึงยาที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา (ในคน)
ก็มีการนำมาทดลองใช้กับแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมีย
การป้องกัน
โรคลิวคีเมียในแมว
เนื่องจากไม่มีวิธีรักษา
การป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้ว่าไม่มีวัคซีนตัวใด
ที่สามารถให้ผลสร้างภูมิคุ้มกันในระดับ 100%
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียเลย โดยเฉลี่ยได้ผลประมาณ
75% – 85% นอกจากนี้ การแยกแมวที่ป่วยเป็นโรคลิวคีเมียออกจากฝูง
และไม่ให้ออกไปสู่ภายนอก เป็นการควบคุมการระบาดของโรคลิวคีเมียได้เป็นอย่างดี
สำหรับการผ่าตัดทำหมันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
ที่จะลดพฤติกรรมการออกไปนอกบ้านของแมวตัวผู้
อันจะเพิ่มโอกาสความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไวรัสลิวคีเมียได้อีกทางหนึ่ง
ด้วย
ขอบคุณที่มา : http://www.zazana.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น